วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กรองอากาศ กับการแต่งจริงอะไรจริง

กรองอากาศและระบบทางเดินอากาศ : น้ำผึ้งบาทเดียวหรืออีดาบอาบน้ำนม?


          ต้องเขียนนำร่องแบบนี้ก่อนเพราะของแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องคุณภาพของกรองอย่างเดียว กรองอากาศแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามหลักของนักเลงรถทั่วไปได้แก่กรองเดิมติดรถซึ่งมีราคาถูกมีความสามารถ ในการกรองฝุ่นที่ดีแต่อั้นลมอัดรอบสูงแล้วจมูกบี้ (แน่ใจเรอะ?) ส่วนประเภทต่อมาเรียกว่า "Drop-in Filter" หรือ บางทีก็เรียกว่า "Replacement Filter" ซึ่งหมายถึงกรองอากาศทรงแผ่นเหมือนกรองอากาศเดิมติดรถนั่นล่ะ แต่เปลี่ยนวัสดุเสียใหม่ให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้นส่วนประเภทที่สามนั้นก็คือกรองเปลือยหรือ "Pod Filter.." ไม่ค่อยเห็นฝรั่งตาน้ำข้าวที่ไหนเขาเรียกว่า "Nude filter" นะผู้ชายส่วนใหญ่คงไม่ชอบนักแล้วมันเกี่ยวกับน้ำผึ้งบาทเดียวหรืออีดาบอาบน้ำนมอย่างไร? น้ำผึ้งบาทเดียวก็หมายถึงว่ากรองอากาศนั้นเมื่อรวมกับการคิดจัดวางระบบทางเดินอากาศที่ดีแล้วสามารถให้คุณประโยชน์กับเครื่องยนต์ได้มากโดยที่ถ้าใช้จ่ายอย่างรอบคอบแล้วจะพบว่าราคาค่าทำก็ไม่ได้แพงอะไรเลยแต่ถ้าใส่ไปแบบไม่คิดอะไรมากบางครั้งสิ่งดีๆที่เราตั้งใจมอบให้รถมันกลายเป็นของทำร้ายเครื่องโดยไม่รู้ตัวเขาเรียกว่าอีดาบอาบน้ำนมไงสำหรับกรณีนี้

Drop-in filter ที่สามารถใส่แทนกรองเดิมได้ทันทีไม่แรงแต่ความเสี่ยงต่ำและใช้แบบไร้กังวล

          ในขั้นแรกหลายคนพอใจที่จะซื้อ Drop-in Filter มาใส่รถตัวเองโดยคิดว่าเนื้อกรองราคาแพงช่วยให้อากาศไหลเข้าได้ ง่ายขึ้นแค่นั้นก็ทำให้รถแรงขึ้นสมใจอยากแล้วแต่เท่าที่ผมเคยทดลองมาใน Honda และ Nissan หลายรุ่น กรองอากาศในลักษณะนี้ไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์แรงขึ้นสาเหตุก็คือเพราะเรามุ่งให้ความสนใจไปกับตัวเนื้อกรองอากาศ มากจนลืมไปว่ากรองอากาศนั้นเป็นแค่ 1 ในองค์ประกอบของระบบทางเดินอากาศก่อนเข้าลิ้นคันเร่ง Julian Edgars จากเว็บไซต์ autospeed.com กล่าวไว้ในบทความของเขาว่าโดยเฉลี่ยแล้วถ้าเราลองวัดค่าความอั้นอากาศในทุกส่วน ของระบบทางเดินอากาศแล้วจะพบว่ากรองอากาศมีส่วนร่วมในความผิดดังกล่าวอยู่แค่3-5% เท่านั้นอุปสรรคใน การไหลของอากาศยังมีอีกตั้งหลายอย่างแม้กระทั่งท่ออากาศที่มีทรงเป็นปล้องๆข้อๆซึ่งพบได้ทั่วไปในรถโรงงาน นี่ก็เป็นอุปสรรคต่อการไหลที่เรียบลื่นของอากาศ (ในปี2003 วิศวกรHSV:Holden Specialized Vehicle พบว่าแค่แทนที่ข้อปล้องเหล่านี้ด้วยท่อเดินอากาศผิวเรียบพวกเขาก็สามารถเพิ่มแรงม้าให้กับเครื่องV8 5.7 ลิตรได้อีก 5kW หรือประมาณ 6.8 แรงม้า)

          เมื่อเห็นว่า Drop-in Filter ไม่ค่อยเวิร์คบางคน (เช่นผม) เลยจัดแจงโยนกล่องกรองอากาศของเดิมทิ้งหมด แล้วทำอแดปเตอร์ต่อออกมายึดใส่กรองเปลือยซะเลยแล้วก็เอ็นจอยไปกับเสียงดูดอากาศและเสียงคำรามดังกึกก้อง ของเครื่องยนต์หารู้ไม่ว่าที่จริงเครื่องยนต์ไม่ได้แรงขึ้นไปกว่าเก่าเลยจริงอยู่ว่า 3-5% ในส่วนของความอั้นอากาศถูก ลดทอนไปแล้วด้วยเนื้อกรองและหม้อกรองของโรงงานที่มักมีส่วนในการอั้นอากาศก็ถูกถอดออกไปแล้วเช่นกัน แต่ความร้อนจากการทำงานของเครื่องยนต์ส่งผลให้อากาศที่กรองดูดเข้าไปนั้นมีอุณหภูมิสูงมากกว่าปกติหากอุณหภูมิ ของไอดีสูงขึ้นสัก 7 เซลเซียสแรงม้าสูงสุดของเครื่องยนต์ก็จะลดลงไปแล้ว 1% ดังนั้นการติดตั้งกรองเปลือยที่ดูด อากาศร้อนๆจากในห้องเครื่องก็ไม่มีประโยชน์เพราะในห้องเครื่องนั้นอุณหภูมิจะสูงกว่าภายนอกมาก ได้ถึง 30 เซลเซียสแค่นี้ก็เสียแรงม้าไปกับความร้อนได้4% ซึ่งมากพอที่จะหักล้างผลประโยชน์ที่ควรได้รับจาก กรองเปลือยจนหมดสิ้นไป


ติดแบบนี้เหมือนจะลงตัวแต่ดูดลมร้อนในห้องเครื่องพอสมควร

          ดังนั้นจำไว้เลยว่าหากคิดจะติดตั้งกรองเปลือยเมื่อไหร่ก็ต้องคิดหาหนทางวิธีกันความร้อนไม่ให้เข้ามายุ่งด้วย อาจใช้แผ่นเหล็กหรือสแตนเลสตีขึ้นรูปเป็นกล่องกันความร้อนก็ได้แต่ก็ต้องมีรูให้อากาศภายนอกไหลเข้า มาหากรองได้ด้วยไม่ใช่ปิดตายจนหารูจะหายใจไม่ได้งานเพียงเท่านี้ไม่ยากเกินความสามารถของร้านตัดเหล็กหรือร้านทำท่อส่วนใหญ่หรอกครับแต่ถ้าอยากทำอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้เพื่อหวังผลที่งดงามกว่านี้ก็ขอให้ทำโดยนึกถึงเรื่องของความเรียบลื่นในระบบทางเดินอากาศและอุณหภูมิของอากาศที่กรองจะดูดเข้าเครื่องเอาไว้เป็นหลักเมื่อผมพูดเช่นนี้หลายคนก็จะนึกได้ทันทีว่าเห็นเพื่อนๆหรือรุ่นพี่ในคลับรถมีวิธีการติดตั้งกรองเปลือยและป้อนอากาศเข้ากรองกันหลายแบบ เช่นคุณเอ  เอากรองอากาศไว้ที่เดิมนั่นล่ะแต่เจาะรูบนฝากระโปรงด้านบนเหนือตัวกรอง ส่วนคุณบีเลือกที่จะต่อท่อยาวแล้วย้ายตัวกรองอากาศลงมาอยู่ด้านหน้ารถในแถบล่างๆเช่นในซุ้มล้อ หรือส่วนล่างของกันชนเอาเข้าจริง..มีปัญหาทั้งคู่! เพราะคนแรกที่เจาะฝากระโปรงเหนือตัวกรอง (เพราะอาจจะไปเห็นฝากระโปรงรถแข่งมาเลยทำตาม) คงลืมไปว่าเวลารถวิ่งลมที่พัดเข้ามาอย่างเร็วจะไหลผ่านรูนั้นไปเลื้อยต่อไปหากระจกบานหน้าของรถอย่างเร็วในสภาพนี้จะแทบไม่มีแรงลมดันเข้ามาหาตัวกรองอากาศเลยดังนั้นจึงไม่ได้ช่วยอะไรให้ต่างไป จากฝากระโปรงที่ไร้รูดีไม่ดีช่องทางนั้นล่ะจะกลายเป็นรูระบายความร้อนอย่างดีให้กับลมที่ผ่านจากชุดหม้อน้ำเข้าไป และไหลออกขึ้นบนผ่านทางช่องนั้นแล้วอากาศที่เข้ากรองจะไปเย็นได้อย่างไร? ก็ต้องออกแบบตี Heat shield กั้นอากาศร้อนในห้องเครื่องไม่ให้เข้ามารอบๆกรองอากาศได้เสียก่อน

          จากนั้นจึงออกแบบช่องดักลมให้มีลักษณะเป็น Scoop ที่ดักลมและบังคับทิศทางลมให้ไหลเข้ามากระทบตัวกรองอากาศอย่างแรงนั่นล่ะถึงจะให้ผลได้ดีจริง (ถ้านึกภาพไม่เข้าใจให้ลองหารูปฝากระโปรงของ Subaru Impreza WRX มาดูจะเห็น Scoop อันเท่าปากน้ำโพที่ออกแบบให้ดักและบังคับลมให้เข้าไปปะทะอินเตอร์คูลเลอร์ที่นอนรออยู่ด้านล่างได้ทีนี้ลองจินตนาการดูสิว่ามันไม่ใช่ Scoop แต่เป็นรูเรียบ ๆ เฉย ๆ อย่างไหนจะกวักเอาลมมาช่วยระบายความร้อนได้ดีกว่า?) แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังเรื่องฝนถ้าวันไหนฝนตกหนักหาก Scoop ที่รักดันกวักมือเรียกน้ำฝนเข้ากรองไปเยอะๆอันนี้ฉิบหายได้เช่นกันโดยเฉพาะรถที่ใช้ Airflow meter วัดการไหลของอากาศเพราะน้ำจะไปเกาะ Airflow ดีไม่ดีรถวิ่งกระตุกเหมือนสันนิบาตรับประทาน


การติดตั้งแบบตีกล่องกันความร้อนแบบนี้มีประโยชน์กว่าที่คิด (courtesy of turnermotorsport.com)

          ส่วนคุณบีที่ต่อท่อยาวแล้วย้ายกรองอากาศมาอยู่ด้านล่าง เช่น ในซุ้มล้อหรือส่วนล่างของกันชนนั้นวิธีนี้ดีอยู่ในแง่ที่ว่าไม่ต้องตีกล่องกันความร้อนเนื่องจากอากาศร้อนส่วนมากจะลอยอยู่ด้านบนหรือตรงกลางของห้องเครื่องซึ่งอยู่สูงกว่าตัวกรองอากาศ แต่การติดตั้งในตำแหน่งนี้ยังมีปัญหาอยู่ตรงที่หากเป็นการติดในซุ้มล้อตัวกรองก็ไม่ได้ปะทะกับกระแสลมโดยตรง กลับกลายเป็นว่าลมมีหน้าที่แค่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วในขณะที่การติดตั้งที่ส่วนล่างของกันชนนั้นต้องมีการหารูที่กันชนให้อากาศไหลเข้ามาชนกับกรองอากาศ(บางท่านใช้วิธีเจาะช่องไฟตัดหมอกหรือถอดไฟตัดหมอกออกแล้วตีปากแตรลำเลียงอากาศเข้าสู่กรอง) หากแค่แปะเอาไว้หลังกันชนโดยไม่มีรูให้อากาศเข้าปะทะกรองโดยตรง เช่นโดนตัวกันชนบังอยู่เต็มๆก็ให้ผลดีแค่ครึ่งเดียวในแง่ที่ว่าอากาศที่ดูดเข้าไปไม่ร้อนแต่เสียโอกาสทองที่จะรับกระแสลมแบบเต็ม ๆไป อย่างน่าเสียดายแถมถ้าหากวันไหนน้ำท่วมปากซอยก็จงวิเคราะห์ให้แน่ชัดก่อนว่าจะเอารถลุยน้ำไปดีหรือไม่เพราะตำแหน่งกรองที่อยู่ต่ำทำให้เสี่ยงต่อการดื่มน้ำสูงนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะครับ ถ้าน้ำเข้าไปพรวดเดียวเป็นปริมาณมากเครื่องพังได้ทันทีจองฌาปณสถานได้เลย เพราะน้ำถูกดูดเข้าไปในห้องเผาไหม้จำนวนมากจนชะล้างน้ำมันเครื่องออกหมดเข้าไปปนอยู่กับน้ำมันเครื่องและจากนั้น..เดาเอาละกัน

          ดังนั้นถ้าหากให้ผมเลือกวิธีการติดตั้งกรองเปลือยที่เหมาะสมก็จะไม่ใช่การติดตั้งในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการสูญเสียเครื่องยนต์ทั้งเครื่องถ้าจะเป็นอย่างนั้นให้ยอมดูดอากาศร้อนยังจะดีเสียกว่า

          พูดถึงวิธีการติดตั้งกรองที่ค่อนข้างเสี่ยงเสียเงินฟรีมาเยอะแล้วเอ้า! แล้ววิธีติดตั้งกรองอากาศที่เหมาะกับการซิ่งด้วย และเหมาะกับการใช้งานจริงในประเทศไทยและไม่ให้เสียเงินแบบอีดาบอาบน้ำนมต้องทำอย่างไรบ้างล่ะ?

1) หาวิธีกันความร้อนจากห้องเครื่องไม่ให้มายุ่งกับกรองอากาศได้ เช่น ตีกล่องปิดตีเหล็กแผ่นมากั้น หรือซื้อชุดคิทกรองอากาศที่มาพร้อมกับกล่องกันความร้อนและติดตั้งตัวกรองอากาศเอาไว้ให้สูงพ้นน้ำ


ชุดกรองของ K&N รุ่นนี้มีกระเปาะกันความร้อนมาครอบตัวกรองแถมมีสายยืดหยุ่นเป็นท่อซึ่งดึงเอาไปรับลมจากจุดที่ต้องการได้

2) หาท่อทางนำอากาศเข้าสู่กรองอาจใช้วิธีต่อท่อนำอากาศจากส่วนหน้าของรถซึ่งเป็นส่วนที่มีกระแสลมอัดเข้ามาอย่างแรงถ้านึกไม่ออกว่าตรงไหนกระแสลมอัดแรงที่สุดก็จะไว้ว่าถ้าหัวรถเปรียบเสมือนธนูส่วนหัวของธนูที่ต้องแหวกฝ่าอากาศ นั่นล่ะคือจุดที่มีแรงอัดอากาศเข้ามามากที่สุด ถ้าเปรียบเป็นรถก็คือช่วงรอบๆป้ายทะเบียนนั่นเองยิ่งห่างจากตรงนั้นไปมากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะทางซ้ายขวาบนหรือล่างแรงดันอากาศเข้าก็ยิ่งน้อยลงและต้องไม่ลืมคำนึงถึงเรื่องฝนเศษกรวดและหินเล็กๆ ว่าจะบินเข้าไปถึงกรองอากาศของเราง่ายเกินไปหรือเปล่า

3) หลังจากช่วงท่อนกรองไปแล้วท่อช่วงที่เดินจากหลังกรองมาเข้ากระเปาะไอดีน่ะ..ถ้ากำจัดพวกรอยพับข้องอข้อต่อย่น ทั้งหลายที่ทำให้อากาศไหลได้ไม่เรียบลื่นได้ก็ควรทำจะใช้ท่อสแตนเลสสลับกับท่อยางคุณภาพดีบางช่วงก็ได้

4) อย่าลืมเป้าหมายหลักแห่งชีวิตของการเกิดเป็นกรอง..มันเกิดมาเพื่อกรองสิ่งที่เป็นอันตรายไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ ดังนั้นอย่าเสี่ยงกับกรองอากาศที่พิจารณาแล้วว่าน่าจะโล่งจนดูดฝุ่นกันอิ่มปอดเครื่องไม่แรงยังไงก็วิ่งดีกว่าเครื่องที่พัง! ถ้ายังจำยากอยู่อีกท่องไว้เลยว่า "พ้นร้อนพ้นน้ำพ้นฝุ่นกินลมแรงสมใจ"


รอยย่นที่เป็นข้อปล้องที่ท่อส่งอากาศของMX-5 คันนี้ถ้ากำจัดทิ้งได้ก็ดี

          ส่วนเรื่องขนาดของตัวกรองอากาศนั้นไม่ต้องห่วงมากว่าถ้าใหญ่แล้วจะรอรอบหรือเปล่าอาจจะมีผลบ้างใน กรณีที่ขนาดรูของกรองด้านที่เสียบเข้ากับอแดปเตอร์นั้นใหญ่เกินไปแต่ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลางตรงรูนี้ต่างกันแค่นิ้วเดียว แทบไม่มีผลดังนั้นจะเอาปาก 3 นิ้วหรือ 4 นิ้วมาใส่ก็ไม่ต้องซีเรียสขนาดนี้ถือว่าเหมาะสำหรับรถที่มีตั้งแต่ 100 ไปจนถึง 200 แรงม้าได้เลยด้วยซ้ำอีกประการคือเพราะเราสามารถขึ้นรูปท่อช่วงหลังอแดปเตอร์ให้เป็นทรงโคน และค่อยๆลดเส้นผ่านศูนย์กลางลงมาจนเท่ากับท่อทางเดินอากาศเข้ากระเปาะไอดี หรือเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางลิ้นคันเร่งได้เพื่อให้มีการไล่ระดับขนาดท่อที่เนียนอากาศไหลลื่นได้ดี


แบบนี้รับลมได้ดีแต่อย่าได้เอามาวิ่งบนถนนเชียวรับประทานฝุ่นอิ่มเลย

          หลังจากติดตั้งชุดกรองอากาศใหม่แบบนี้เข้าไปโอกาสที่จะเพิ่มแรงม้าที่เครื่องยนต์ได้ประมาณ 4-8% ขึ้นอยู่กับว่ากรองและทางเดินอากาศชุดเดิมที่ติดมากับรถนั้นดีหรือร้ายเพียงไร ผมยังไม่เคยเจอกรองมหัศจรรย์ประเภทที่ยัดใส่รถบ้าน ๆ ขนาด 100-120 แรงม้าแล้วแรงทะลึ่งพรวดพราดไปถึง 135 แรงม้าเลยในชีวิตและถึงมีผลจากแท่นวัดแรงม้ามายืนยันก็ควรพิจารณาด้วยว่าเวลารถเราวิ่งจริง ๆ นั้น เราปิดฝากระโปรงแต่หลายคันเวลาไดโน่มักจะเปิดฝากระโปรงโล่งโจ้ง แถมมีพัดลมใหญ่ ๆ มาเป่าอัดข้างหน้าหรืออัดตรงแถว ๆ กรองอากาศด้วย ผลที่ได้ก่อนและหลังติดตั้งกรองก็อาจต่างจนดูน่าซื้อชนิดที่ถ้าไม่ซื้อก็โง่ ในรถใหม่ ๆ ECU แสนรู้หลังจากติดตั้งชุดกรองสบายปอดแบบนี้เข้าไปแล้วก็ควรที่จะ Reset ECU เสียใหม่เพื่อให้ ECU จำค่าการเข้าของอากาศจากกรองชุดใหม่ด้วย บางคันใส่กรองอย่างดีทั้งชุด แต่วิ่งแล้วไม่ต่างจากเดิมเพราะ ECU ตกใจอากาศมาจากไหนเยอะแยะเลยกลัวส่วนผสมบางอย่างจึงสั่งจ่ายน้ำมันหนาเข้าไว้ (อันนี้เจอมาแล้ว)


เนื้อหาบทความและรูปภาพจากคอลัมน์ Fart & Furious โดย Commander CHENG จาก www.headlightmag.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น