วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Engine Management System

          ในช่วงหลัง ๆ มานี้เนื่องจากกล่อง ECU ติดรถรุ่นใหม่ชอบมีฟังก์ชั่นปิดนู่นป้องกันนี่อย่างเช่น Honda Civic FD เครื่อง R18A และ K20Z หรือ Nissan Tiida HR16DE และ MR18DE ซึ่งแม้จะใส่กล่องจูนแล้ว แต่กล่อง ECU ติดรถจะล็อคค่าการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง Close loop (Close loop - อธิบายสั้น ๆ คือ เป็นช่วงที่ภารกรรมของเครื่องต่ำและคันเร่งถูกกดไม่มากซึ่งจะจ่ายน้ำมันในอัตราส่วนเชื้อเพลิง 1 ส่วนต่ออากาศ 14.7 ส่วนหากเติมน้ำมันเบนซิน) อย่างเครื่อง Nissan รุ่นใหม่ ๆ นั้นสามารถปรับแต่งค่าการจ่ายน้ำมันได้เฉพาะช่วงที่กดคันเร่งหนักและรอบเครื่องสูงส่วน Honda Civic นั้นจะไม่ออกจาก Close loop จนกว่าคันเร่งจะกดเกิน 80% และถึงแม้ทำการจูน MAP น้ำมันไปแล้วเครื่องยนต์จะค่อย ๆ คืนค่าที่ตั้งมาจากโรงงานกลับอย่างช้าๆ

          หลายคนพบปัญหานี้บางคนที่สามารถเสกเงินเกินครึ่งแสนได้ง่าย ๆ ก็ใช้วิธีแทนที่ด้วยกล่อง Standalone เสียเลย..ถูก...ถูกโคดแค่ 6-7 หมื่นบาทซึ่งถ้าแพงไปก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือการ "Reflash" ซึ่งไม่ใช่การเอากล่องไปผูกบนเสาแล้วรอฟ้าผ่าแต่เป็นการโหลดข้อมูลใหม่ลงไปทับ ROM ของเดิมใน ECU โรงงานโดยตรงไม่ได้ใช้วิธีการหลอกสัญญาณเหมือนการพ่วงกล่อง Piggyback ดังนั้นจึงสามารถปรับได้หลายอย่างแม้กระทั่งการปลดล็อครอบเครื่องยนต์ให้ลากเกินขีดจำกัดของโรงงานปลดพันธนาการจากฟังก์ชั่นล็อค Close loop โดยไม่ต้องห่วงเรื่องที่ว่ากล่องจะคืนค่าโรงงานกลับเหมือนเดิม


          ในประเทศไทยเท่าที่ผมทราบ Honda เป็นกลุ่มที่เอ็นจอยกับการ Reflash (ไม่นับรถเทอร์โบอย่าง Impreza Turbo และ Evolution ที่มีคนรับ Reflash เช่นกัน) อย่างเช่น Piasini ซึ่งถือสัญชาติอิตาลี และมีชาวออสเตรียเป็นเอเย่นต์อยู่ในไทยรับ Reflash ในราคา 18,000-20,000 กว่าบาท และยังมีเจ้าชื่อดังอย่าง Hondata ซึ่งแต่เดิมมีชุด Reflash สำหรับเครื่อง K20 Type R ฝาแดงก็มีคนปรับปรุงให้สามารถใช้กับเครื่อง 1.8 และ 2.0 ลิตรใน Civic สเป็คเอเชียได้แต่อันนี้สนนราคาผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเท่าไหร่

          แล้วระหว่างการปรับแต่งโดยใช้กล่องจูน Piggyback, Standalone, หรือ Reflash อย่างไหนจะเหมาะสม?          ผมมองว่าในกรณีนี้เรากำลังพูดถึงการปรับจูนรถเครื่อง NA ในระดับประถม ซึ่งเป็น Step เริ่มต้นสำหรับคนเพิ่งเริ่มเล่นดังนั้นความจำเป็นในการใช้กล่อง Standalone ราคาหลายหมื่นจึงไม่จำเป็น แม้กระทั่งนายจอร์จจูนเนอร์เพื่อนผมยังบอกเลยว่า ถ้าเป็นรถบ้านทั่วไปที่ไม่ได้โมดิฟายท่อนฝาสูบเพิ่มความจุหรือเปลี่ยนแคมชาฟท์ใช้แค่กล่อง Piggyback ธรรมดาก็สามารถทำแรงได้ใกล้เคียงกัน ดังนั้นเซฟเงินไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า
          ถ้าเป็นรถยุค 90 หรือเก่ากว่าปี 2005 นั้นกล่อง ECU มักจะไม่แสนรู้เจ้ากี้เจ้าการมากนัก (ยกเว้น Accord V6 ปี 2003 ซึ่งแสนรู้ยิ่งกว่ากล่องของ Civic FD เสียอีก) คุณจงสบายใจเลือกใช้กล่อง Piggyback ได้เลย เพราะรถพวกนี้หลายรุ่นกล่อง ECU ยังไม่รองรับการ Reflash ค่ากล่องค่าติดตั้งและค่าจูนรวมกันทั้งหมดจะจบที่ราว 20,000 นิดๆ (กล่องมือสองสภาพดี)


          ส่วนรถยุคใหม่คุณอาจต้องเลือกระหว่างการจูนกล่อง Piggyback โดยไม่สนใจเรื่องการปรับน้ำมันหรือเลือกวิธี Reflash กล่อง ..อันที่จริงกล่อง Piggyback ที่มีฟังก์ชั่นปลดพันธนาการ Close loop ก็มีอยู่ เช่น AEM Fuel and Ignition Controller แต่ผมไม่ทราบรายละเอียดของอุปกรณ์ตัวนี้เลย

          การ Reflash กล่องต้องดูด้วยว่าใช้วิธีการใดในการจูน การ Reflash นั้นมักใช้วิธีวิ่งทดสอบให้กล่องทำการเก็บข้อมูลเดิมจากโรงงาน จากนั้นจึงทำการปรับแต่งต่อแล้ว Export ค่าจากคอมพิวเตอร์เข้าไปทับข้อมูลเดิมใน ROM ซึ่งถ้าหากเป็นการปรับจูนบนไดโน่ ผมคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้า Reflash กล่องโดยใช้วิธีก๊อปข้อมูลโรงงานแล้วส่งเป็นไฟล์ให้จูนเนอร์ไปปรับนู่นแต่งนี่แล้วค่อยก๊อปกลับมาเขียนทับลงบน ROM แบบนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเป็นการจูนแบบไม่ได้แตะตัวรถไม่ได้ทดสอบจูนแบบเห็นรอบกวาดกันจริง ๆ เงี่ยงหูฟังหรือตรวจจับอาการน็อคของเครื่องจริง ๆ แล้ว มันจะเค้นประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ออกมาอย่างเต็มที่ได้อย่างไรกัน? บางคนบอกว่าจูนกล่อง Piggyback ไม่ดีเพราะจูนแล้วกล่องดึงค่าน้ำมันคืน (โดยลืมไปว่าค่าองศาไฟจุดระเบิดไม่ได้ถูกดึงคืนไปด้วย) แต่เลือกใช้วิธี Reflash กล่องแบบส่งไฟล์ไปปรับจูนที่อื่นแล้ว copy ไฟล์กลับมาใส่..ผมว่าดีไม่ดีผลลัพธ์ด้านแรงบิดออกมาอาจสู้รถที่ปรับไฟจุดระเบิดอย่างเดียวแต่เค้นกันเต็มที่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไปพูดตรง ๆ เลยดีกว่าว่าในบ้านเราทุกวันนี้เทคโนโลยี Reflash สำหรับรถ NA อย่างพวกเรายังไม่มีใครแตกฉานอย่างจริงจังเหมือนพวกกล่องจูนครับ คงต้องรอเวลากันอีกสักพักมันคงจะแพร่หลายและพัฒนาจนใช้งานได้ดีขึ้นตามลำดับ

          อีกอย่างหนึ่ง..ถ้าใช้กล่อง Piggyback เมื่อถึงคราวเลิกใช้คุณสามารถถอดขายต่อให้ใครก็ได้ กล่องใบหนึ่งสามารถใช้ได้กับรถหลายยี่ห้อหลายแบบ ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันได้เปรียบการ Reflash อยู่ แต่ต้องทำใจกับราคาเพราะสมัยนี้ถ้าซื้อ Piggyback ป้ายแดงมาบวกค่าติดตั้งและค่าจูนเข้าไปก็ 35,000 บาท..แพงกว่าการ Reflash อยู่หมื่นกว่าบาท
          ส่วนตัวผมนิยมการใช้กล่อง Piggyback มือสอง เพราะของพวกนี้หากไม่ใช่ของปลอมแล้วล่ะก็โอกาสที่่จะพังนั้นมีน้อยมาก กล่อง F-Con ที่อยู่ในรถผมตอนนี้อายุจะ 10 ปีแล้ว ยังใช้การได้ดีไม่มีปัญหาใด ๆ ถ้าให้ดีเวลาตกลงซื้อขายกล่องมือสองกับใคร ผมแนะว่าควรนัดดูกล่องและซื้อขายกันที่ร้านหรืออู่ของจูนเนอร์ที่คุณไว้ใจเพื่อให้จูนเนอร์ตรวจสอบกล่อง หรือทดลองเสียบใช้งานกับรถคันอื่นในอู่เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าสามารถใช้งานได้จริงจากนั้นค่อยวางเงินดีกว่าครับ
ส่วนกล่อง Piggyback รุ่นที่ผมแนะนำให้ใช้ก็มีดังนี้ครับ

1. HKS F-Con S/F-Con SZ ราคามือหนึ่งไม่มีแล้วเพราะตกรุ่นไปเรียบร้อยกล่องมือสองราคา 8,500 ใน F-Con S ไปจนถึง 12,000 บาทโดยประมาณ สำหรับ F-Con SZ สาเหตุที่ผมแนะนำกล่องรุ่นนี้เพราะมีความแพร่หลายซื้อง่ายขายคล่อง ตัวกล่องมีความสามารถสูงเกินพอสำหรับรถบ้าน Step ประถมมีตารางจูนที่ละเอียดที่สุดในบรรดา Piggyback ยอดนิยมแบ่งตารางจูนคันเร่งได้ 24 ช่อง แบ่งตารางรอบเครื่องได้ 16 ช่อง (24x16) สามารถปรับองศาจุดระเบิดและน้ำมันตามอุณหภูมิน้ำและอุณหภูมิไอดีได้ ปลดล็อคความเร็ว 180 ได้ อีกทั้งมีสวิทช์ด้านข้างสำหรับสลับ MAP การจูนทีเซ็ตไว้ทำให้สามารถสลับใช้อีก MAP หนึ่งได้ ในกรณีที่เปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิง

2. HKS F-Con iS นี่คือกล่องรุ่นที่มาแทน F-Con S/SZ ราคามือหนึ่งประมาณ 25,000 บาท ส่วนราคามือสองนั้นจะอยู่ที่ 20,000 บวกลบ กล่องรุ่นนี้มีความละเอียดในการจูนเท่ากันกับรุ่นเก่า แต่ชิพและวงจรต่าง ๆ จะมีความสามารถในการประมวลผลได้รวดเร็วกว่า ลูกเล่นที่น่าสนใจคือสามารถต่อสาย Visual จากกล่องขึ้นแสดงผลบนหน้าจอทีวีติดรถได้เลย F-Con iS นี้ คือกล่องที่ Honda Civic One-Make Race ใช้กันนั่นแหละครับ แต่บอกไว้ก่อนนะว่ามิสเตอร์จอร์จเคยลองเอา F-Con iS ใส่ Nissan Tiida 1.8 พบว่าไม่สามารถใช้งานได้ แต่พอเอากล่อง F-Con S/SZ รุ่นเก่ามาใส่กลับต่อใช้งานและจูนได้หน้าตาเฉย (ชอบของเก่านี่หว่า..งง)

3. Greddy E-Manage รุ่นธรรมดากล่องสีน้ำเงินนี้ คือ กล่อง Piggyback ราคาถูกที่เคยได้รับความนิยมเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ตอนนี้เริ่มหายไปจากตลาดแล้ว อาจเป็นเพราะว่าบริษัทแม่ของ Greddy ซึ่งก็คือ Trust เป็นหนี้สินล้นพ้นและยอดขายตกจนต้องยื่นขอเข้าสู่ขั้นตอนล้มละลาย (เหมือน Chapter 11 ที่ GM โดน) เพิ่งจะจัดองค์กรตั้งลำได้ใหม่เมื่อปี 2009 นี่เองดังนั้นคนเลยกลัว ๆ กล้า ๆ ที่จะซื้อของ แต่ถ้าคุณไม่แคร์อะไรกำเงินไว้ในมือไม่เกิน 6,000 ก็สามารถได้ E-Manage มือสองมาใช้ ซึ่งควรมาพร้อมกับชุดสายไฟจุดระเบิดด้วยเพราะถ้าไม่มีมาก็ต้องไปเบิกใหม่ชุดละ 1,500 บาทครับ ความสามารถของกล่องสู้ F-Con ไม่ได้แต่เพียงพอสำหรับการจูนรถบ้านด้วยความละเอียดของตารางจูน 16x16 ทั้งนี้ ไม่สามารถปลดล็อคความเร็วหรือปลดล็อครอบได้ และไม่มีฟังก์ชั่นน่าสนใจอื่นๆ

4. Greddy E-Manage Ultimate ราคามือสองใกล้เคียงกับ F-Con SZ ละยังมีประสิทธิภาพหลายอย่างสูสีกัน โดยแม้จะแพ้เรื่องความละเอียดของตารางจูน แต่ก็ชดเชยด้วยลูกเล่นที่เหมือนกับยกความสามารถของกล่องโปรมาใช้เลย เช่น สามารถปลดล็อครอบเครื่องยนต์ได้และสามารถเซ็ตโหมด Lauch control ได้ โดยเลือกว่าจะใช้รอบเครื่องออกตัวเท่าไหร่และเซ็ตค่าเอาไว้ หลังจากนั้นพอเข้าเส้นสตาร์ทก็หยุดรถเหยียบคลัทช์ใส่เกียร์และกดคันเร่งจมมิดรอบเครื่องจะตวัดไปดิ้นกะแด่วๆอยู่ตรงรอบที่เราเซ็ตเอาไว้ (ฟังก์ชั่นนี้ใช้ได้สำหรับรถเกียร์ธรรมดาเท่านั้น) สำหรับการจูนผมคิดว่าหลายท่านที่อ่านบทความนี้ส่วนมากคงจะพึ่งพาจูนเนอร์ในการติดตั้งและจูนกล่องให้ ผมจึงอยากจะให้คำแนะนำสำหรับการพารถไปจูนกล่องสักนิดไว้ตรงนี้เป็นการส่งท้าย
          ประการแรกคุยเรื่องราคาค่าติดตั้งและเงื่อนไขต่าง ๆ กับจูนเนอร์ให้เรียบร้อยก่อนจะลงมือทำอะไรทั้งสิ้น การจูนรถในบางครั้งมักไม่จบในครั้งเดียวต้องมีการกลับไปแก้งานบ้าง โดยเฉพาะพวกที่พยายามจูนแบบเค้นแรง เมื่อจูนเสร็จแล้วนำรถไปใช้งานจริงเมื่อเจอน้ำมันคุณภาพต่ำลงหรืออากาศที่ร้อนมาก ๆ อาจปรากฏอาการชิงจุดระเบิดให้เห็นจูนเนอร์ทั่วไปมักรับแก้งานขัดเกลาในลักษณะนี้ โดยไม่คิดเงินเพิ่มนะครับ
          ไม่ต้องไปบอกจูนเนอร์ว่าคุณชอบรอบปลายลื่นชอบรอบต้นตวัดเร็วหรือชอบประหยัดน้ำมันนะครับ เพราะการจูนกล่องที่ดีจริง ๆ คุณทำเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเครื่องให้ได้หลายช่วงที่สุดไม่ว่าคันเร่งเบา หรือกดเต็มไม่ว่ารอบสูงหรือรอบต่ำ และถ้าวิ่งแบบคงคันเร่งนิ่ง ๆ ก็ต้องประหยัดเท่าเดิมไม่งั้นก็ประหยัดกว่าเดิมครับ สิ่งเดียวที่คุณควรบอกจูนเนอร์ก็คือ คุณต้องการเค้นเครื่องมากขนาดไหนถ้าตั้งใจจะเค้นกันสุด ๆ ก็ต้องยอมรับว่าอาจมีการแก้งานหลังจูนกันบ้าง แต่ถ้าเป็นพวกไม่ชอบความเสี่ยงก็บอกจูนเนอร์ให้จูนแบบเผื่อเรื่องความทนทานกับการใช้งานไว้เยอะหน่อยแค่นั้นพอครับ

          ประการที่สองในการจูน คนจูนอาจให้เราเป็นผู้เลือกว่าจะจูนวิ่งบนถนนหรือจูนบนไดโน่? ถ้าให้ผมแนะนำเพื่อความปลอดภัยและสบายใจ จูนบนไดโน่เถอะครับสบายใจ คนจูนสบายใจ เจ้าของรถแถมมีกราฟให้ดูเห็นชัด ๆ กันเลยว่าม้าเพิ่มแรงบิดเพิ่มเท่าไหร่ การจูนบนถนนผมเคยทำเมื่อหลายปีก่อนมันไม่สนุกแถมเสี่ยงเพราะคุณต้องใส่เกียร์สูงและลากกดมิดตั้งแต่รอบต่ำ ๆ ไปจนสุดรอบเรดไลน์ ซึ่งในรถหลายคันนั้นเกียร์ 4 ทำความเร็วทะลุ 180 ได้ บางคันแค่เกียร์ 3 ก็ได้ 170 แล้ว แล้วจะหาถนนที่ไหนมาวิ่ง? ก็ต้องวิ่งกันตอนดึกๆเหนื่อยง่วงด้วย แต่บนไดโน่ใครอยากทำอะไรก็ทำจ่ายเงินเป็นรายชั่วโมงประมาณ 2,500 บาท แต่ผมว่าคุ้ม เตือนนิดนึงตรงที่ไดโน่บางแห่งลมเป่าหน้าเครื่องแรงดีและเย็นมาก เวลาวิ่งจูนอากาศเข้าเครื่องเย็นสะใจแต่ พอปิดฝากระโปรงแล้วเอาไปวิ่งบนถนนจริง ..เครื่องเขกเลย เพราะไอดีบนถนนร้อนกว่าดังนั้นออกจากไดโน่แล้วอย่าลืมหาที่ว่างลองช่วงสั้น ๆ ความเร็วไม่ต้องมากแค่ให้รู้ว่าไม่มีการเขกให้เห็นก็พอครับ
          ประการที่สามการจูนกล่องแบบไม่ใช้ไดโน่ ถ้าพบว่าจูนเนอร์โหลดโปรแกรมใส่แล้วเอาไปวิ่งแป๊บเดียวแล้วเอารถกลับมาส่งเลยสันนิษฐานว่า จูนเนอร์อาจใช้วิธี copy โปรแกรมจูนที่เคยจูนรถคันอื่นที่เป็นยี่ห้อเดียวกันเครื่องเดียวกันกับรถของท่านมาใส่ ทำแบบนี้ผมถือว่าไม่เต็มที่กับงานครับ เราจ่ายเงินค่าจูนเท่าคนอื่นก็ควรได้สิ่งตอบแทนที่ดีเท่าคนอื่น การวัดค่าส่วนผสมอากาศกับน้ำมันก็กรุณาอย่าใช้วิธีนั่งเทียน จูนเนอร์ทุกคนต้องมีเครื่องมือสำหรับวัดส่วนผสม Wide-band A/F meter ไว้วัดกันอยู่แล้วก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์และการติดตั้ง Sensor ก็ควรแหย่เข้าไปรับไอเสียที่ออกมาจากห้องเผาไหม้ โดยการเจาะท่อไอเสียช่วงหลังจากที่รวบเหลือ 1 ท่อแล้ว และเชื่อมเกลียวน็อตเข้าไปจากนั้นขัน Sensor เข้าไปแล้วต่อสายวัดมาเข้าเครื่องอ่านค่าในห้องโดยสาร (เวลาจูนเสร็จก็จะมีน็อตตัวผู้ขันเข้าไปอุดไว้ครับ) ดูตัวอย่างการเจาะจากภาพข้างล่างนี้ก็ได้จะเห็นตัว Sensor ของ A/F meter ที่ถูกขันเข้าไปเรียบร้อยแล้ว


          บางคนไม่ยอมเจาะท่อ ก็ใช่วิธีเอาขาหนีบ Sensor ไปหนีบไว้กับปลายท่อไอเสีย วิธีนี้พอจะใช้ได้ ถ้ารถของคุณเป็นท่อไอเสียตรงและไม่มีเครื่องกรองไอเสีย แต่ถ้ามีกรองไอเสียล่ะก็ค่าที่วัดได้จะเพี้ยนกระจายครับ แถมมีลมวนแถวปลายท่อมาทำให้ค่าเพี้ยนได้อีกอย่าง



          ประการสุดท้ายอันนี้ไม่เกี่ยวกับรถ แต่เป็นเรื่องของจิตวิทยานิดนึง ผมทราบว่าหลายท่านที่ชอบแต่งรถย่อมต้องมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการจูนและเกี่ยวกับรถของท่าน กรุณาถามในสิ่งเหล่านี้กับจูนเนอร์เถอะครับ เขายินดีอธิบายอยู่แล้วแต่ในระหว่างที่จูนเนอร์เขากำลังติดตั้งกล่องหรือกำลังจูนนั้น เขาจะต้องใช้สมาธิสูง ดังนั้นกรุณายืนสังเกตการณ์เฉย ๆ ดีกว่าหากมีคำถามอะไรค่อยเก็บไว้ถามตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นจากชุดสายไฟหรือขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วจะดีกว่าครับ
          ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องจูนกันขนาดนี้ แล้วผมเลยขอตัวอย่างผลการจูนจากคุณจอร์จซึ่งก็ช่วยเหลือค้นหากราฟไดโน่มาให้ลองดูความต่างระหว่างก่อนจูนกับหลังจูน โดยกราฟที่แสดงให้เห็นข้างล่างนี้ มาจากเครื่องยนต์ 1NZ-FE Phase 2 ที่เป็นคันเร่งไฟฟ้าเป็นแรงม้าและแรงบิดจากการวัดที่ล้อครับ

          รถคันที่ขึ้นไดโน่นี้ผ่าน step การโมดิฟายแบบพื้นฐาน เช่น ท่อไอเสียและกรองอากาศมาแล้ว เมื่อนำมาจูนกล่องจะเห็นได้ว่าแรงม้าและแรงบิดไม่ได้ขึ้น ต่างกันแบบคนละเรื่อง จอร์จเองยังมักกำชับลูกค้าและรุ่นน้องหรือแม้แต่เขียนในบทความตัวเองว่า การจูนกล่องมันไม่ใช่กล่องเทพฟ้าประทานไอ้ประเภทที่เอารถเดิม ๆ มาโปะกล่องแค่อย่างเดียวแล้วเคลมว่าม้าเพิ่ม 20 ตัวน่ะ..มี แต่นั่นคือพวกรถที่ม้าเดิม ๆ มีมาแล้ว 300 กว่าตัว ในรถบ้านทั่วไปนั้น มักจะเห็นกันเป็นเลขตัวเดียวเสียมากกว่าอย่างเครื่อ1NZ-FE ข้างบนนี้เพิ่มขึ้น 8 ตัวโดยประมาณ
          แต่อย่ามองว่าเพิ่มม้าแค่ 8 ตัวจะเพิ่มไปทำไม? ให้ลองดูแรงบิดที่ได้เพิ่มมาก่อน แรงบิดนี่ล่ะคือสิ่งที่ถีบรถเราไปข้างหน้าใช่ไหม? และดูจากกราฟแรงบิดหลังจูนที่ยกตัวขึ้นตลอดตั้งแต่ 4,500 รอบ ไปจนหมดรอบ ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า ถ้านำว่าวิ่งบนถนนจริงรถที่จูนแล้วเข็มวัดรอบจะกวาดไปไวกว่าดูแรงบิดสูงสุดสิครับ ก่อนจูนที่ 4,500 รอบต่อนาที มีประมาณ12 ... แต่หลังจูนจะเห็นได้ว่าเครื่องยนต์สามารถคงแรงบิดระดับนี้หรือสูงกว่า ให้ใช้ไปจนถึงรอบเครื่องประมาณ 5,500 รอบต่อนาที แม้ว่าลักษณะของกราฟจะมีความโค้งขึ้นและลงเดินรอยตามเส้นของเดิมเพราะยังไม่ได้โมดิฟายแค็มหรือฝาสูบก็ตาม
          เอาล่ะมาถึงขั้นนี้ ท่านผู้อ่านที่ทำตามสิ่งที่ผมเขียนในบทความที่แล้วกับบทความนี้ก็คงเสียเงินกันไปอย่างน้อยก็สองสามหมื่นบาท แรงม้าที่ล้อของท่านน่าจะดีขึ้น 10 ตัวถ้าได้ 20 ตัวนี่ถือว่าโชคเข้าข้างมาก ๆ แล้วครับแต่ได้รถที่ขับสนุกขึ้นตอบสนองดีขึ้น และเผลอ ๆ ถ้าขับเหมือนเดิมก็เปลืองเชื้อเพลิงเท่าเดิมเป็นความสุขบนกองหนี้หรือใบเสร็จรับเงินสดที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ซึ่งอธิบายให้คนไม่บ้ารถฟังกี่ล้านรอบเขาก็คงไม่เข้าใจ
         
เนื้อหาบทความและรูปภาพจากคอลัมน์ Fart & Furious โดย Commander CHENG จาก www.headlightmag.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น